วันศุกร์ที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

    ระบบสุริยะ

 

      ระบบสุริยะ (Solar  System)ประกอบด้วยดวงอาทิตย์ ดาวเคราะห์ บริวารของดาวเคราะห์ดาวหาง  ดาวเคราะห์น้อย อุกกาบาต  มวลสารและรังสีระหว่างดาวเคราะห์  ดวงอาทิตย์มีมวลมากกว่า  99%ของมวลในระบบสุริยะ ส่วนดาวเคราะห์มีมวลน้อยกว่า  0.5%
          ดาวพุธ (Mercury)มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 1.3 เท่าของดวงจันทร์ พื้นผิวคล้ายดวงจันทร์คือมีเครเตอร์หรือหลุมบ่อที่เกิดจากอุกกาบาตชน มีหุบเขา  เทือกเขา รอยแตกและที่ราบ  มีบรรยากาศน้อยมาก   อยู่ห่างจากดวงอาทิตย์เป็นระยะประมาณ  0.4 เท่าของระยะระหว่างโลกกับดวงอาทิตย์หรือ 0.4 A.U ( l A. U. = 93 ล้านไมล์)
          ดาวศุกร์(Venus) เป็นดาวเคราะห์ที่สว่างที่สุด เรียกว่าดาวประกายพรึกถ้าเห็นตอนเช้ามืด และเรียกว่าดาวประจำเมืองถ้าเห็นตอนเย็น  ดาวศุกร์มีขนาดเกือบเท่าโลก  (0.82 เท่าของโลก)   จึงถูกเรียกว่าเป็นฝาแฝดโลก(Earth s twin) ดาวศุกร์หมุนรอบตัวเองตามเข็มนาฬิกา มีอุณหภูมิที่ผิวราว  700 องศาเซลเซียส  ตัวดวงปกคลุมด้วยเมฆหนามากจนมองไม่เห็นพื้นผิวดาวศุกร์  ก้อนเมฆไม่ให้น้ำแต่เต็มไปด้วยกาซคาร์บอนไดออกไซด์   อยู่ห่างจากดวงอาทิตย์ประมาณ  0.7 A.U.
          ดาวอังคาร(Mars)  ห่างจากดวงอาทิตย์เฉลี่ย 1.5 A.U. มีเส้นผ่าศูนย์กลางเป็นครึ่งหนึ่งของโลก  ( รัศมี = 3,380 กม. ) หมุนรอบตัวเองด้วยคาบ 24.6 ชมอุณหภูมิของกลางวันและกลางคืนต่างกันมาก มีสีขาวที่ขั้วทั้งสองข้าง  พื้นผิวมีลักษณะเป็นทางยาวคล้ายคลอง  บรรยากาศเจือจาง
   The regions (or zones) of the Solar system: the inner solar system, the asteroid belt, the giant planets (Jovians) and the Kuiper belt. Sizes and orbits not to scale.       ดาวพฤหัสบดี (Jupiter) มีเส้นผ่าศูนย์กลาง  11.2 เท่าของโลก ปริมาตรเป็น 1,316 เท่าของปริมาตรโลกสว่างรองจากดาวศุกร์ อยู่ไกลจากดวงอาทิตย์ 5.2 A.U.  หมุนรอบตัวเองด้วยคาบ 9 ชั่วโมง 50 นาที  30 วินาทีดาวพฤหัสบดีไม่มีพื้นผิวเป็นดินหินเหมือนโลก  มีแต่แถบเมฆขนานกับเส้นศูนย์สูตรที่มีสีต่างๆ มีจุดแดงใหญ่ (Great Red Spot)  เป็นทรงรีขนาดใหญ่ในแถบเมฆเห็นเด่นชัดคล้ายสัญญลักษณ์ของดาวพฤหัสบดีในบรรยากาศมีไฮโดรเจน ฮีเลียม มีเธนและแอมโมเนีย มีวงแหวนบางล้อมรอบ
  Saturn        ดาวเสาร์ (Saturn)เป็นดาวเคราะห์ไกลที่สุดที่เห็นได้ด้วยตาเปล่า  อยู่ไกลจากดวงอาทิตย์เป็น 9.5 A.U.  หมุนรอบตัวเองด้วยคาบ 10 ชั่วโมง  มีเส้นผ่าศูนย์กลางเป็น 9.4 เท่าของเส้นผ่าศูนย์กลางของโลก สัญญลักษณ์เด่นมากของดาวเสาร์คือวงแหวนที่รู้จักกันมานานบรรยากาศมีแถบเมฆและส่วนประกอบคล้ายดาวพฤหัสบดี
          ดาวยูเรนัส(Uranus)  หรือดาวมฤตยู อยู่ห่างจากดวงอาทิตย์  19 A.U.  หมุนรอบตัวเองด้วยคาบ 10 ชั่วโมง  49 นาที มีเส้นผ่าศูนย์กลางเป็น 4 เท่าของโลก  มีวงแหวนจางมากที่ค้นพบจากยานอวกาศ   บรรยากาศคล้ายดาวเสาร์และดาวพฤหัสบดี
  Neptune   เนปจูน    ดาวเนปจูน(Neptuneหรือดาวเกตุ อยู่ห่างจากดวงอาทิตย์ประมาณ 30 A.U. หมุนรอบตัวเองด้วยคาบ 15 ชั่วโมง  48 นาทีมีเส้นผ่าศูนย์กลางเกือบเท่าดาวยูเรนัส  เป็นดาวเคราะห์สีเขียวปนน้ำเงิน ส่วนประกอบของบรรยากาศคล้ายดาวยูเรนัส  แต่อยู่ในสภาพที่เป็นน้ำแข็งมากขึ้น มีวงแหวนจาง
         ดาวพลูโต(Pluto)หรือดาวพระยม เป็นดาวเคราะห์ขนาดเล็กที่สุด หมุนรอบตัวเองด้วยคาบประมาณ 6 วัน 9 ชั่วโมง วงโคจรมีความรีมากกว่าดาวเคราะห์ใด   บางครั้งอยู่ใกล้ดวงอาทิตย์มากกว่าดาวเนปจูน มีระยะทางเฉลี่ย 40 A.U. ผิวของดาวพลูโตแข็งจึงสะท้อนแสงได้ดี  ปัจจุบันจัดให้ดาวพลูโตเป็นดาวเคราะห์แคระ (dwarf planet) จัดเป็นกลุ่มดาวเคราะห์น้อยแถบไคเปอร์ (Kuiper belt)
 
 
                                       วัตถุขนาดเล็กในระบบสุริยะ
 
ดาวเคราะห์น้อยasteroid belt
          ระหว่างดาวอังคารกับดาวพฤหัส มีวัตถุขนาดเล็กโคจรรอบดวงอาทิตย์มีขนาดต่าง  กัน วัตถุเหล่านี้ไม่กลมเหมือนดาวเคราะห์แต่คล้ายก้อนหิน เรียกว่าดาวเคราะห์น้อย(Minor planet) หรือแอสเตอรอยด์ (Asteroid) ส่วนใหญ่มีขนาด 1-10 กิโลเมตร  นับจำนวนหลายหมื่นดวง ดวงใหญ่ที่สุดคือ เซเรสเป็นดาวเคราะห์น้อยดวงแรกที่ค้นพบ (.. 1801) ขนาด 1,000 กิโลเมตร 
          ต่อมาค้นพบดาวเคราะห์น้อยในบริเวณอื่น  ด้วย เช่นที่วงโคจรใกล้กว่าโลก และที่มีวงโคจรไกลกว่าดาวพฤหัส มีดาวเคราะห์น้อยส่วนหนึ่งที่อยู่ไกลกว่าดาวเนปจูนในบริเวณดาวพลูโตนับเป็นแถบดาวเคราะห์น้อยชื่อแถบไคเปอร์ (Kuiper belt)  นับว่าระบบสุริยะขยายอาณาเขตออกไปไกลกว่าดาวพลูโต เป็นไปได้ว่าที่ระยะทางระหว่างดาวอังคารกับดาวพฤหัสเป็นระยะที่เห็นดาวเคราะห์น้อยง่ายที่สุด
ดาวหาง
          ดาวหาง  (Comet ) เป็นก้อนแกสแข็งที่มีอนุภาคของแข็งปนอยู่โคจรรอบดวงอาทิาตย์เป็นรูปวงรีที่มีความรีมากกว่าดาวเคราะห์ หรือบางวงโคจรเป็นพาราโบลาซึ่งจะปรากฏให้เห็นครั้งเดียว  ดาวหางแบ่งเป็น 3 ส่วนคือใจกลางหรือนิวเคลียส (Nucleus)  หัว  ( coma)  และหาง  (tail)  ใจกลางเป็นส่วนที่เล็กที่สุดของดาวหางแต่มีมวลมากที่สุด ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง  1  10  กิโลเมตรคล้ายจุดของแสง  หัวเป็นส่วนที่ล้อมรอบนิวเคลียสขนาดใหญ่กว่า  แต่ความหนาแน่นน้อยกว่า   หัวมีลักษณะกลมเป็นดวงผ้าไม่มีขอบชัดเจน เป็นส่วนที่หลุดจากนิวเคลียส  ขนาดของหัวเปลี่ยนแปลงตามระยะทางที่อยู่ไกลจากดวงอาทิตย์ มีขนาดใหญ่ขึ้นเมื่อเข้าใกล้ดวงอาทิตย์มากขึ้น  หางเป็นฝุ่นและไอออนมีขนาดใหญ่ขึ้นเมื่อเข้าใกล้ดวงอาทิตย์มากขึ้นเพราะเป็นชิ้นส่วนที่หลุดจากหัว หางมีทิศตรงข้ามกับดวงอาทิตย์เพราะถูกรังสีจากดวงอาทิตย์ผลักComets
          ดาวหางที่มีชื่อเสียงมากที่สุดคือ ดาวหางฮัลเลย์ซึ่งเป็นดาวหางดวงแรกที่ทราบว่ามีคาบหรือวงโคจรกลับมาได้หลายหน  ชื่อนี้ตั้งเป็นเกียรติแก่ เอ็ดมันด์  ฮัลเลย์  ผู้ทำนายเมื่อ .. 1682  ว่าดาวหางดวงนี้จะโคจรกลับมาหลายหน วงโคจรเป็นวงรีคาบ 75 ปี พบครั้งแรกสุดเมื่อ  240 ปีก่อนคริสตศักราช       เอ็ดมันด์   ฮัลเลย์  เป็นเพื่อนของนิวตันเป็นผู้เผยแพร่งานเขียนของนิวตัน  นับเป็นบุคคลตัวอย่างที่ดีในวงงานวิทยาศาสตร์   ดาวหางดวงอื่นที่มีชื่อเสียง คือ ดาวหางเวสต์ ไฮยากุตาเกะ , เฮลบอพพ์ เป็นต้น
อุกกาบาต
          มีวัตถุขนาดเล็กกว่าดาวเคราะห์น้อยจำนวนมากมายโคจรรอบดวงอาทิตย์ทั่วระบบสุริยะ ซึ่งเรียกว่าเมทีโอรอยด์ (Meteoroid) วัตถุเหล่านี้จะเห็นได้เมื่อผ่านบรรยากาศโลก เกิดการเสียดสีกับโมเลกุลอากาศทำให้วัตถุลุกเป็นไฟ เห็นเป็นทางยาวของแสงที่เรียกว่าอุกกาบาต (Meteor) ถ้าเหลือชิ้นส่วนตกบนพื้นโลกเรียกว่าลูกอุกกาบาต  ( meteorite ) ที่ทำให้เกิดหลุมอุกกาบาต (crater)
          ฝนอุกกาบาต (meteor shower) เป็นอีกชนิดหนึ่งของอุกกาบาต ที่เกิดจากชิ้นส่วนของดาวหางที่หลุดอยู่ตามวงทางโคจร  เมื่อโลกเคลื่อนที่เข้าไปตัดวงโคจร  อุกกาบาตเหล่านี้จะตกลงมาให้เห็นมากมายในช่องเวลาสั้นคล้ายน้ำจากฝักบัว  หากต่อเส้นทางของอุกกาบาตกลับไป จะพบกันที่จุดหนึ่ง เรียกว่า เรเดียนท์ (Radiant)เรียกชื่อ ฝนอุกกาบาตตามตำแหน่งเรเดียนท์ที่ตรงกับกลุ่มดาว เช่น ถ้าเรเดียนท์อยู่ในกลุ่มดาวสิงห์  (Leo)  เรียกอุกกาบาตว่า ลีโอนิดส์ (Leonids) เป็นต้น
ระบบสุริยะอื่น
          ในระบบสุริยะของเรา  นอกจากโลกแล้ว เราคาดหวังจะพบสิ่งมีชีวิตบนดาวอังคาร  ดาวบริวารของดาวพฤหัส คือ ยุโรปา และ คัลลิสโต ที่คาดว่ามีน้ำหรือของเหลวใต้เปลือกน้ำแข็ง
          สิ่งมีชีวิตนอกระบบสุริยะของเราจะต้องอยู่บนดาวเคราะห์หรือดาวบริวารที่โคจรล้อมรอบดาว ดาวเคราะห์หรือดาวบริวารต้องมีสภาพที่เอื้อต่อชีวิตคล้ายโลก เช่น อยู่ในระยะทางที่เหมาะสม ไม่ร้อนหรือเย็นเกินไป  มีบรรยากาศ มีน้ำ ฯลฯ  ปัจจุบันเราค้นพบระบบสุริยะอื่นมานานราว 40 ปี  เช่น ระบบสุริยะของดาวเอปสิลอน  อีริดานิ ดาว 51  ปีกาซัส , ดาวอัลเดบาแรน และดาวอัปสิลอน แอนโดรมิดา  เป็นต้น ดาวเหล่านี้มีดาวเคราะห์โคจรรอบ  แต่ยังไม่มีดาวดวงใดที่อยู่ในสภาพที่เอื้อต่อชีวิต

 

ดวงอาทิตย์Photo: Loop on the sun

          ดวงอาทิตย์เป็นดาวฤกษ์ใกล้โลกมากที่สุด เป็นเพียงดาวฤกษ์ธรรมดาดวงหนึ่งในเอกภพแต่มีความสำคัญต่อเรามากที่สุด ดวงอาทิตย์เป็นก้อนกาซที่มีความโน้มถ่วงที่ผิวมากกว่าโลก 28 เท่า เส้นผ่าศูนย์กลางของดวงอาทิตย์ประมาณ 864,000 ไมล์  มีปริมาตรใหญ่กว่าโลก 1,300,000 เท่า แต่มีมวลมากกว่าโลกเพียง 330,000 เท่า  แสดงว่าความหนาแน่นน้อยกว่าของโลกมาก  ความหนาแน่นของดวงอาทิตย์แปรผกผันกับระยะทางจากใจกลางดวงอาทิตย์
          ดวงอาทิตย์มีการหมุนรอบตัวเองไม่เหมือนวัตถุแข็งบริเวณพื้นผิวที่เส้นรุ้งต่างกันจะหมุนด้วยความเร็วต่างกัน เช่น ที่เส้นศูนย์สูตรหมุนครบ  1  รอบในเวลา  25  วัน  ที่เส้นรุ้งที่  40° เหนือ  (หรือใต้)  หมุนครบ  1  รอบ  ในเวลา  27  วัน   ที่ขั้วดวงอาทิตย์หมุนครบ 1 รอบในเวลา 34 วัน  มีเส้นศูนย์สูตร ทำมุม 7.25° กับสุริยวิถี  ( อยู่ในระนาบทางโคจรของโลกรอบดวงอาทิตย์ )
        พื้นผิวของดวงอาทิตย์มีอุณหภูมิประมาณ  6,000 องศาเซลเซียส  ใจกลางดวงอาทิตย์มีอุณหภูมิราว 20,000,000 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นแหล่งสร้างพลังงาน พลังงานเกิดจากปฏิกิริยาเทอร์โมนิวเคลียร์ (Thermonuclear Reaction)  ที่มวลส่วนหนึ่งกลายเป็นพลังงานรังสีแม่เหล็กไฟฟ้าออกจากดวงอาทิตย์ และยังมีอนุภาคไฟฟ้าออกจากดวงอาทิตย์ที่เรียกว่า ลมสุริยะ ( Solar wind ) ซึ่งมีมากขณะเกิดการลุกจ้าบนดวงอาทิตย์
       
            ชั้นต่าง  ของดวงอาทิตย์แบ่งตามความหนาแน่น
             
                   1)ใจกลางดวงอาทิตย์  เป็นบริเวณที่มีความหนาแน่นมากที่สุดเป็นแหล่งเกิดพลังงานSun
มีขนาดราว  10% ของเส้นผ่าศูนย์กลางของดวงอาทิตย์
                   2) โฟโตสเฟียร์ (Photosphere)  หรือทรงกลมแสง (Light sphere)  ให้แสงทุกสีเป็นพื้นผิวดวงอาทิตย์ที่มองเห็นได้ ซึ่งลึกลงไปจากชั้นนี้เป็นภายใน กรานูลของ (Granule)  เป็นตัวพาพลังงานจากภายในมายังโฟโตสเฟียร์ปรากฏมีลักษณะคล้ายดอกดวงที่ผิวชั้นนี้  
                   จุดดวงอาทิตย์ (Sunspot) เป็นจุดมืดอยู่ในชั้นนี้ มีอุณหภูมิต่ำสุด 4,500  5,500  องศาเซลเซียส   อุณหภูมิโฟโตสเฟียร์  6,000องศาเซลเซียส  ใกล้  จุดดวงอาทิตย์จะมีแฟคคิวลี  (Faculae)  ซึ่งเป็นโครงสร้างสว่างกว่าพื้นผิวโดยทั่วไป
                   3) โครโมสเฟียร์  (Chromosphere)  หรือทรงกลมสี ( Colour sphere) มี แสงเป็นสีแดง  เป็นชั้นบรรยากาศ ความหนาแน่นต่ำโครงสร้างทั่วไปในชั้นนี้เรียกว่า  มอตเติล (Mottle) ซึ่งถ้าปรากฏที่ขอบดวง  จะเห็นเป็นยอดแหลม  เล็ก  ที่พุ่งขึ้นลงมากมาย เรียกว่าสปิคูล (Spicule)  ชั้นโครโมสเฟียร์มีอุณหภูมิราว15,000 องศาเซลเซียส   ในชั้นนี้มีพวยกาซ  (Prominence)  ที่เป็นโครงสร้างใหญ่รูปร่างต่าง   แฟลร์  (Flare)  หรือการลุกจ้าคายอนุภาคประจุจำนวนมากออกจากดวงอาทิตย์  ซึ่งบางครั้งมีผลต่อบรรยากาศของโลก  แฟลร์อยู่ในบริเวณของจุดดวงอาทิตย์และพลาจซึ่งเป็นบริเวณที่มีกัมมันตภาพสูงกว่าพื้นผิวอื่น 
                   4) โคโรนา (Corona)  เป็นชั้นสูงสุด  มีความหนาแน่นต่ำสุด  ไม่มีขอบเขตแน่นอน  รูปร่างเปลี่ยนแปลงได้ตามค่าของสนามแม่เหล็กบนดวงอาทิตย์  โคโรนามีอุณหภูมิสูงประมาณ  2,000,000 องศาเซลเซียส  ตามปรกติโครโมสเฟียร์และโคโรนามองด้วยตาเปล่าไม่เห็น  ต้องสังเกตในขณะเกิดสุริยุปราคา  เมื่อดวงจันทร์บังแสงจ้าจากโฟโตเฟียร์ หรือมองได้จากเครื่องมือพิเศษที่ใช้สังเกตการณ์โครโมสเฟียร์  หรือโคโรนาโดยเฉพาะ
                 
  สมบัติประการอื่น ๆ ของดวงอาทิตย์คือ
          ลมสุริยะ  (Solar  wind)
                   ลมสุริยะของดวงอาทิตย์คือ  อนุภาคประจุไฟฟ้า เช่น อิเลคตรอนและไอออนที่หลุดออก
จากดวงอาทิตย์ ซึ่งมีจำนวนมากในโคโรนาที่ขยายออกไปในอวกาศ  ซึ่งมีจำนวนลดลงเมื่อระยะทางจากดวงอาทิตย์มากขึ้น  และจำนวนอนุภาคเหล่านี้จะมีมากในขณะที่เกิดการประทุแสงหรือการระเบิดขึ้นในผิวดวงอาทิตย์  ลมสุริยะเป็นต้นเหตุที่ทำให้หางของดาวหางชี้ออกจากดวงอาทิตย์ ลมสุริยะที่ตกใส่โลกจะถูกบรรยากาศดูดกลืนไปมาก
          รังสีจากดวงอาทิตย์
                   ดวงอาทิตย์คายรังสีทุกความยาวช่วงคลื่น  รังสีบางช่วงสามารถสังเกตการณ์ได้ที่ผิวโลก เช่น รังสีแสง  เพราะสามารถทะลุผ่านบรรยากาศลงมาได้  แต่รังสีบางช่วง  เช่น  รังสีเอกซ์  แกมมา  ซึ่งเป็นรังสีที่มีอันตรายจะไม่สามารถผ่านบรรยากาศของโลกลงมาได้  แต่เราสามารถศึกษารังสีที่ไม่ทะลุผ่านบรรยากาศได้โดยใช้ดาวเทียม  และ  จรวดเป็นต้น      
ดาวฤกษ์
          ดาวฤกษ์ (star) เป็นก้อนกาซขนาดใหญ่ มีแสงสว่างในตัวเองซึ่งเกิดจากปฏิกิริยาเทอร์โมนิวเคลียร์(Thermonuclear reaction) แบบรวมตัวหรือฟิวชัน (Fusion) ที่ศูนย์กลางของตัวดวง มีธาตุเบากลายเป็นธาตุหนัก ในขบวนการนี้มีมวลของธาตุเบาประมาณ 1% เปลี่ยนเป็นพลังงานคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า  อุณหภูมิภายในร้อนขึ้นมากถึงล้านองศาเซลเซียส ที่ผิวของดาวมีอุณหภูมิ 5,000 - 55,000 องศาเซลเซียสขึ้นกับชนิดของดาว ดาวฤกษ์มีสีต่าง  กันตั้งแต่แดงสลัวจนถึงสีน้ำเงินสว่าง แต่ละสีของดาวบอกอุณหภูมิที่ต่างกัน สีน้ำเงินร้อนมากที่สุด สีแดงสลัวร้อนน้อยที่สุด ถ้าอุณหภูมิที่ผิวดาวต่ำกว่า 2,000 องศาเซลเซียส  รังสีของดาวจะมองไม่เห็นเป็นส่วนใหญ่ดาวจะร้อนแต่ไม่มีแสงสว่าง
          จัดให้ดวงอาทิตย์เป็นดาวฤกษ์ตัวอย่างหรือดาวเฉลี่ย (Average Star) เพราะเป็นดาวที่อยู่ใกล้โลกมากที่สุด มีอุณหภูมิที่ผิวราว 6,000 องศาเซลเซียส โครงสร้างง่าย  ของดาวฤกษ์คล้าย  กันและคล้ายของดวงอาทิตย์ แต่ต่างกันที่ขนาด อุณหภูมิ สี มวล และลักษณะอื่นๆ แต่ตาของเราสามารถบอกความแตกต่างจากสีและความสว่างของดาวฤกษ์เท่านั้น แม้จะมองผ่านกล้องโทรทรรศน์ก็ยังเห็นดาวเป็นจุดของแสง ยังไม่มีกล้องโทรทรรศน์กล้องใดขยายให้เห็นขนาดหรือลักษณะของดาวได้  ถ้ามองด้วยตาเปล่าสามารถเห็นดาวประมาณ 2,000 3,000 ดวงครึ่งท้องฟ้า ดาวมีทั้งหมดในดาราจักรของเราหรือดาราจักรทางช้างเผือกประมาณแสนล้านดวง  มองจากโลกเห็นดาวเป็นจำนวนมากอยู่กันเป็นแถบจางๆของแสงบนท้องฟ้าเรียกว่าทางช้างเผือก(Milky way) บริเวณอื่น  มีดาวฤกษ์น้อยมาก แต่อวกาศก็เป็นที่ว่างเสียส่วนใหญ่ ถ้าดวงอาทิตย์เป็นจุดดาวฤกษ์ที่อยู่ใกล้ดวงอาทิตย์มากที่สุดจะอยู่ไกล 10 ไมล์ขึ้นไปดาวฤกษ์อื่น ๆอยู่ไกล 100 หรือ 1,000 ไมล์ดาวฤกษ์ที่อยู่ใกล้ที่สุดอยู่ไกลจากดวงอาทิตย์ 26 ล้านล้านไมล์ ( 4.3 ปีแสง, 1 ปีแสง = 6 ล้านล้านไมล์)หรือไกลกว่าระยะทางจากโลกถึงดวงอาทิตย์ (93 ล้านไมล์)  ถึง 300,000 เท่าThe image of Sirius A and Sirius B taken by Hubble Space Telescope. The white dwarf can be seen to the lower left. The diffraction spikes and concentric rings are instrumental effects.
          ขนาดของดาวฤกษ์มีต่างๆ กัน บางดวงอาจใหญ่กว่าดวงอาทิตย์ หลายร้อยเท่าของอาทิตย์  มีอีกจำนวนมากที่มีขนาดเล็กกว่าดวงอาทิตย์ ขนาดเล็กที่สุดที่เคยสำรวจได้เล็กกว่าโลก
          มวลของดาวฤกษ์มีค่าไม่ต่างกันมาก  ฉะนั้นความหนาแน่นจึงต่างกันมาก   ดาวขนาดใหญ่ความหนาแน่นมักต่ำ ดาวขนาดเล็กมักมีความหนาแน่นสูง  อายุของดาวมีค่าต่างกัน  ดาวฤกษ์ที่มีขนาดใหญ่ความหนาแน่นมักต่ำ จัดเป็นดาวอายุน้อยที่สุดที่เพิ่งเกิดจากการที่กลุ่มกาซมารวมตัวกันเข้าจนมีความร้อนที่ผลิตขึ้นเองที่ใจกลางดวง  จัดเป็นดาวฤกษ์เรียกว่าดาวยักษ์ (Giant Star) ส่วนดาวฤกษ์ขนาดเล็กจัดเป็นดาวอายุมากมีขนาดเล็กกว่าเดิมเพราะกาซหดตัว  เนื่องจากมีความโน้มถ่วงมากขึ้นๆ เรียกว่าดาวแคระ (Dwarf Star)
          ดวงอาทิตย์จัดเป็นดาวฤกษ์อายุปานกลาง  ถ้าดาวมีมวลมากกว่าดวงอาทิตย์จนมีความโน้มถ่วงมากขึ้นจนอัดให้อิเลกตรอนไปรวมกับนิวเคลียสเรียกว่าดาวนิวตรอน  (Neutron Star)   หรือพัลซาร์  (Pulsar)  เมื่อความโน้มถ่วงชนะทุกอย่างดาวจะหดตัวจนมีปริมาตรใกล้ศูนย์ ค่าความโน้มถ่วงเป็นอนันต์  ดาวจะปรากฏมืดเพราะแสงไม่สามารถหนีออกจากความโน้มถ่วงได้เรียกว่าหลุมดำ  (Black  Hole)
 
 
 
วิวัฒนาการของดาวฤกษ์
                     กลุ่มกาซและฝุ่นหดตัวจากแรงโน้มถ่วงจนมีพลังงานจลน์ ความหนาแน่นและความร้อนสูงมาก เมื่ออุณหภูมิมากกว่าล้านองศาเซลเซียส จะเกิดปฏิกิริยานิวเคลียร์ที่เปลี่ยนธาตุเบากลายเป็นธาตุหนักที่ใจกลาง   ถ้าดาวมีความดันภายในสูงสมดุลย์กับแรงโน้มถ่วง  ดาวมีขนาดคงที่จัดเป็นดาวในพวกขบวนใหญ่(Main Sequence) เมื่อธาตุเบาเปลี่ยนเป็นธาตุหนักที่ใจกลางหมด ภายในจะยุบตัว ส่งความร้อนให้ผิวนอกขยายตัวเป็นดาวยักษ์แดง (Red Giant Star) ใจกลางร้อนเปลี่ยนธาตุหนักให้หนักยิ่งขึ้น  ถ้าดาวมีมวลน้อยเปลี่ยนได้ธาตุคาร์บอนจะไม่เปลี่ยนเป็นธาตุหนักขึ้นเป็นดาวแคระขาว(White Dwraf Star) มีมวล 1-1.5 เท่าของดวงอาทิตย์  ซึ่งต่อไปจะคายพลังงานออกจากตัวเปลี่ยนสีจนเป็นดาวแคระแดงและมืดไปในที่สุด    ดาวที่มีมวล1.5-3 เท่าขA giant Hubble mosaic of the Crab Nebula, a supernova remnantองดวงอาทิตย์ จะเปลี่ยนธาตุให้หนักยิ่งขึ้นจนกระทั่งได้ธาตุเหล็กที่ใจกลางซึ่งดูดพลังงานไว้จะทำให้เกิดการระเบิดเป็นมหานวดารา ( Supernova ) และมีนิวตริโน  ( Neutrino )  อนุภาคสะเทินขนาดเล็กที่ไร้มวลหลุดออกมาในอวกาศ  ส่วนแกนกลางจะยุบตัวเล็กลงเป็นดาวนิวตรอน  ( Neutron Star )ที่อิเลกตรอนไม่โคจรรอบนิวเคลียสแต่เข้าไปอยู่รวมกับโปรตอน ดาวนิวตรอนมีขนาดราว  10 กิโลเมตร หมุนรอบตัวเองด้วยความเร็วสูงมาก และมีสนามแม่เหล็กที่เข้มมาก ส่งอนุภาคพลังงานสูงหลุดออกมาตามขั้วแม่เหล็ก คายคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า  ที่รับคลื่นวิทยุได้เป็นช่วงๆด้วยคาบสั้นมากที่เรียกว่าพัลซาร์ ( Pulsar) ถ้าดาวมีมวลมากกว่า 3 เท่าของดวงอาทิตย์  แรงโน้มถ่วงจะมากจนเกิดการหดตัวต่อไป   ในที่สุดแสงก็หลุดจากตัวดาวไม่ได้เรียกสภาพนี้ว่าหลุมดำ  ( black hole)  หากหลุมดำเป็นดาวคู่กับดาวยักษ์  ระบบนี้มีการโคจรร่วมศูนย์กลางของมวลเดียวกัน    ชิ้นส่วนของดาวยักษ์ถูกหลุมดำดึงดูดตกไปหมุนวนรอบปากหลุม เกิดการคายคลื่นพลังงานสูงให้ค้นพบหลุมดำได้


 กลุ่มดาว ( Constellation )             
                มีกลุ่มดาวทั้งหมด  88 กลุ่ม   ดาวแต่ละดวงเคลื่อนที่ไม่สัมพันธ์กัน  เพราะแต่ละดวงอยู่ห่างกัน  ไม่มีแรงโน้มถ่วงซึ่งกันและกัน  กลุ่มดาวเปลี่ยนแปลงรูปร่างช้าๆ  เคลื่อนในทิศทางต่างๆกัน         
              กลุ่มดาวที่สังเกตุง่ายและใช้เป็นกลุ่มดาวหลักคือกลุ่มดาวหมีใหญ่ ( Ursar Major ) และกลุ่มดาวนายพราน (Orion )   บางส่วนของกลุ่มดาวหมีใหญ่เรียกว่ากลุ่มดาวกระบวย  ( Big Dipper )มีดาว 7 ดวงImage:Orion constellation map.png
มีดาว 2 ดวงห่างกัน 5 องศาชี้ไปยังดาวเหนือที่อยู่ห่าง 30 องศา  บางส่วนของดาวหมีใหญ่คนไทยเรียกว่ากลุ่มดาวจรเข้       ดาวเหนืออยู่ห่างจากขอบฟ้าเท่าเส้นรุ้งของผู้สังเกตการณ์  ถ้ามองจากประเทศไทยจะอยู่ห่างจากขอบฟ้าน้อยมากราว 10 องศาจึงสังเกตการณ์ยาก  ดาวเหนืออยู่ในกลุ่มดาวหมีเล็ก(Ursa Minor)
                กลุ่มดาวนายพรานหรือกลุ่มดาวเต่า มีดาวเบเทลเจียสสว่างที่สุด  มีดาว 3 ดวงเรียงกันเป็นเข็มขัดนายพรานหรือกลางหลังเต่า จากเข็มขัดลากไปพบดาวดาวซิริอุสที่เป็นดาวสว่างที่สุดในกลุ่มดาวสุนัขใหญ่(Canis Major) ถ้าลากไปด้านตรงข้ามพบกลุ่มดาววัว(Taurus) ลากต่อออกไปพบกระจุกดาวลูกไก่
           สามเหลี่ยมหน้าหนาวคือเส้นที่ลากระหว่างดาวซิริอุส  ดาวเบเทลเจียสและดาวโปรไซออนในกลุ่มดาวสุนัขเล็ก      สามเหลี่ยมหน้าร้อนประกอบด้วยกลุ่มดาววีกาในกลุ่มดาวพิณ ดาวหางหงษ์ในกลุ่มดาวหงษ์   ดาวตานกอินทรีในกลุ่มดาวนกอินทรีย์    กลุ่มดาวม้าบินเป็นรูปสี่เหลี่ยมใหญ่บนท้องฟ้ามีดาราจักรแอนโดรมิดาที่ขาม้า  
         กลุ่มดาวในจักรราศี มีกลุ่มดาว 12 กลุ่มอยู่ตามแนวสุริยวิถี แต่ละกลุ่มอยู่ห่างกันราว 30 องศา ถ้าลากเส้นจากโลกดวงอาทิตย์ตรงกับกลุ่มดาวดาวก็จะเป็นกลุ่มดาวประจำเดือนนั้น

 ระบบดาวหลายดวง

          มีดาวเป็นจำนวนมากที่อยู่ใกล้กัน โคจรรอบศูนย์กลางของความโน้มถ่วงซึ่งกันและกัน จัดเป็นระบบดาวคู่ (Binary star) ระบบดาว 3  4 ดวงขึ้นไป  The Pleiades, an open cluster of stars in the constellation of Taurus. NASA photoจนเป็นกระจุกดาว ( star cluster )  :ซึ่งอาจมีดาวอยู่กันห่าง  เป็นกระจุกดาวเปิด ( open cluster ) มีดาวอยู่ด้วยกัน 20  1,000 ดวง เช่น กระจุกดาวลูกไก่และไฮยาดิส กระจุกดาวเปิดที่เห็นได้ เป็นกระจุกดาวที่อยู่ใกล้ๆ  ถ้ากระจุกดาวมีดาวจำนวนมาก 1,000  100,000 ดวง มาโคจรรอบศูนย์กลางของความโน้มถ่วงเดียวกันเรียกว่า กระจุกดาวทรงกลม ( globular cluster) เช่น กระจุกดาว 47 ทูคานา และกระจุกดาวโอเมกา เซนทอรี ทางซีกฟ้าใต้ เป็นต้น


เนบูลา
           เนบูลา ( Nebulae ) เป็นก้อนกาซระหว่างดวงดาวมีทั้งมืดและสว่าง และรูปร่างต่างๆ กันเนบูลามืดไม่มีดาวอยู่ใกล้เคียงให้รังสีต่อก้อนBest of Hubbleกาซ  แต่เราเห็นได้เพราะมันบังดาวที่อยู่ข้างหลัง เช่นเนบูลาหัวม้า  เนบูลามืดมีรูปร่างต่างๆ กัน  ถ้ามีรูปร่างกลมเรียกว่าโกลบูล(globule) ซึ่งส่วนหนึ่งอยู่ในสภาวะเริ่มแรกของการเกิดดาว        เนบูลาที่สว่าง สว่างเพราะการคายแสงและการสะท้อนแสง  เนบูลามีลักษณะฟุ้งกระจายมีลักษณะต่าง  กัน เช่น เนบูลาใหญ่ ( Great nebula ) .ในกลุ่มดาวนายพรานที่มีกาซอยู่ในขบวนการเกิดดาว  เนบูลาปูเกิดจากซุปเปอร์โนวาหรือดาวใหญ่ระเบิด ชิ้นส่วนที่ระเบิดกลายเป็นเนบูลาซ่อนใจกลางดาวที่กลายเป็นดาวนิวตรอน  เนบูลาสว่างที่มีลักษณะคล้ายวงแหวนล้อมรอบดาวตรงกลาง เรียกว่า เนบูลาดาวเคราะห์
 ( Planetary  Nebula )  ส่วนที่เป็นวงแหวนเป็นก้อนกาซที่หลุดจากดาวระเบิดตรงกลาง

 

ดาราจักร

          ครั้งหนึ่งเราเคยเข้าใจว่าดาราจักรเป็นองค์ประกอบที่ใหญ่ที่สุดของเอกภพ  แต่ปัจจุบันได้ค้นพบว่าหลายดาราจักรได้มาอยู่ใกล้กันด้วยแรงโน้มถ่วงเป็นระบบที่ใหญ่ขึ้นซึ่งเรียกว่ากระจุกดาราจักร  (Cluster of Galaxy)  และกระจุกดาราจักรได้มาอยู่ด้วยกันเป็นโครงสร้างกระจุกดาราจักรยักษ์ที่ใหญ่โตกว่ากระจุกดาราจักร
          ดาราจักรประกอบด้วยดาวฤกษ์  ดาวเคราะห์  เนบิวลา  ฝุ่น  กาซ  รังสีคอสมิค  คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าและที่ว่างในอวกาศ  เราจำแนกดาราจักรตามรูปร่างออกเป็น 3 ประเภทใหญ่คือ
1)  ดาราจักรทรงรี  (E,Elliptical  Galaxy)  มีความรีเรียงตามลำดับนับแต่เป็นทรงกลม  E0 ไปจนถึงที่มีความรีมากที่สุดคือ  E7
2)  ดาราจักรทรงกังหัน (S, Spiral  Galaxy) แบ่งออก 2 ชนิดใหญ่คือ ดาราจักรรูปกังหันปกติ (Normal Spiral Galaxy) และดาราจักรรูปกังหันคาน (Barred Spiral Galaxy) ทั้ง 2 ประเภทมีแขนวนรอบ  บริเวณนิวเคลียสสว่างกว่าบริเวณแขน
          ทั้ง 2 ชนิดยังแบ่งย่อยออกเป็น 3 แบบคือแบบ  a,b,c  โดยยึดหลักดังนี้  ความหนาแน่นการขดของแขนกังหัน  ระยะห่างของแขนจากนิวเคลียสและขนาดของนิวเคลียส
           ) ดาราจักรรูปกังหันปกติมีใจกลางคล้ายเลนส์นูนทั้ง 2 ข้าง  ที่ขอบตรงกันข้ามมีแขน 2 แขนยื่นออกมาหมุนวนทันทีรอบนิวเคลียสไปทางเดียวกันและอยู่ในระนาบเดียวกัน  แบ่งออกเป็น  Sa, Sb และ Sc
          Sa  มีบริเวณใจกลางขนาดใหญ่ แบนบาง  แขนม้วนงอชิดกันGendler M31 Andromeda Galaxy Photo
          Sb  มีบริเวณใจกลางขนาดเล็กลง  แขน 2 ข้างใหญ่ขึ้นและเบนออกกว้างเช่นดาราจักรแอนโดรมิดาและดาราจักรของเรา
          Sc มีบริเวณใจกลางเป็นแกนเล็ก  แขน 2 ข้างเบนออกจากตัวมากขึ้น
          ข )  ดาราจักรรูปกังหันคาน  มีจำนวนน้อยกว่าชนิดกังหันปกติ  2/3 ของทรงกังหันเป็นกังหันปกติ  นอกนั้นเป็นกังหันคานที่มีแขนตรงออกจากนิวเคลียสคล้ายไม้คานก่อน  จากปลายทั้ง  2  ข้างมีแขนขดโค้งขยายออกมาวนไปทางเดียวกัน  จำแนกพวกย่อยเป็น  SBa,  SBb  และ  SBc 
          พวก  SBa   มีแขนทั้งสองข้างต่อกันเป็นรูปทรงรีคล้ายอักษรกรีก  มีใจกลางใหญ่  วงแขนชิดใจกลางพวก  SBb  มีใจกลางเล็กลง  วงแขนวนห่างจากใจกลางมากขึ้น  พวก  SBc  มีใจกลางเล็กยิ่งขึ้น  แขนห่างจากใจกลางมากกว่าทั้งสองพวกแรก
3)  ดาราจักรอสัณฐาน (Irr, Irregular  galaxies) เป็นดาราจักรที่มีรูปร่างไม่แน่นอน มีจำนวนไม่มาก สังเกตลำบากว่าเป็นดาราจักรหรือเป็นก้อนกาซ ตัวอย่างเช่นดาราจักรเมฆแมกเจลแลนใหญ่และดาราจักรแมฆแมกเจลแลนเล็กซึ่งอยู่ทางซีกฟ้าใต้

 

 

ดาราจักรทางช้างเผือก

          ดาราจักรของเราคือดาราจักรทางช้างเผือก  (Milky  Way  Galaxy)  เป็นดาราจักรกังหันปกติชนิด Sb  มีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ  30,000พาร์เซค  หรือ 100,000  ปีแสง  ดวงอาทิตย์อยู่ที่ระยะทางห่างจากใจกลางประมาณ  10,000  พาร์เซค  ( 1 พาร์เซค = 206,265  AU,  l  AU = 93 ล้านไมล์หรือระยะห่างระหว่างโลกกับดวงอาทิตย์จากภาพถ่ายในทิศทางกลุ่มดาวคนยิงธนูหรือทางช้างเผือก  จะเห็นทางช้างเผือกเป็นแถบต่อเนื่องกัน เป็นโครงสร้างซับซ้อนที่ประกอบด้วยดาวฤกษ์เป็นจำนวนมากมีก้อนกาซหรือเนบิวลา  มีกระจุกดาวทรงกลมล้อมรอบใจกลางของดาราจักร  ดาราจักรทางช้างเผือกหมุนรอบตัวเองด้วยความเร็วต่างกันถ้าระยะทางต่างกัน  ที่ระยะทางของดวงอาทิตย์มีค่าประมาณ  300 กิโลเมตร/วินาที   ดาวฤกษ์ที่อยู่ใกล้ใจกลางดาราจักรมากกว่าดวงอาทิตย์เคลื่อนที่ช้ากว่าดวงอาทิตย์คล้ายล้อรถ  ส่วนดาวฤกษ์ที่อยู่ไกลกว่าดวงอาทิตย์เช่นที่แขนของเปอร์ซิอุสเคลื่อนที่ช้ากว่าดวงอาทิตย์ซึ่งเป็นไปตามกฏการเคลื่อนที่ของเคปเลอร์

 

บริวารของดาราจักรทางช้างเผือก

          ดาราจักรที่อยู่ใกล้ดาราจักรทางช้างเผือกเป็นดาราจักรอสันฐาน  2  ดาราจักรซึ่งมองเห็นได้จากทางซีกโลกใต้ ดาราจักรทั้งสองเรียกว่า  ดาราจักรเมฆแมกเจลแลนใหญ่และเล็ก ทั้งสองดาราจักรอยู่ห่างออกไปประมาณ 50,000 พาร์เซค   จัดให้เป็นบริวารของดาราจักรทางช้างเผือก  เพราะเคลื่อนที่ไปด้วยกันเนื่องจากมีแรงโน้มถ่วงซึ่งกันและกัน  ดาราจักรเมฆแมกเจลแลนใหญ่มีมวลราว 20,000 ล้านเท่าของมวลดวงอาทิตย์  ดาราจักรเมฆแมกเจลแลนเล็กมีมวลราว  2,000 ล้านเท่าของมวลดวงอาทิตย์มีดาวฤกษ์และมวลกาซเชื่อมระหว่างดาราจักรทั้ง 3 ดาราจักรนี้


กระจุกดาราจักร
          มีความโน้มเอียงที่ดาราจักรทั้งหลายเข้ามาอยู่ใกล้กันได้ด้วยแรงโน้มถ่วงดังเช่นดาราจักรทางช้างเผือกและบริวาร และแรงโน้มถ่วงยังทำให้ดาราจักรทั้งหลายมาอยู่รวมกันเป็นระบบที่ใหญ่กว่านี้กลายเป็นระบบที่เรียกว่า  กระจุกดาราจักร (Cluster  of  Galaxy )  คล้ายดังที่ แรงโน้มถ่วงทำให้ดาวมาอยู่รวมกันเป็นกระจุกดาว (Star Cluster)  กระจุกดาราจักรบางแห่งมีสมาชิกไม่ถึง 100 ดาราจักร แต่บางแห่งมีมากถึง 10,000 ดาราจักร ดาราจักรในแต่ละกระจุกโคจรรอบใจกลางกระจุกที่เป็นศูนย์กลางแรงโน้มถ่วง  ดาราจักรทางช้างเผือกและบริวารของมันอยู่ในกระจุกดาราจักรที่ชื่อกลุ่มท้องถิ่น (Local Group) มีดาราจักรแอนโดรมิดาที่มีขนาดใหญ่กว่าดาราจักรทางช้างเผือกอยู่ด้วยมีกระจุกดาราจักรอื่นที่อยู่ใกล้  เช่น กระจุกเวอร์โกกระจุกโคมาแต่ละกระจุกอยู่ใกล้กันเป็นซุปเปอร์กระจุก ( Supercluster ) 
         เมื่อมองบริเวณกว้างใหญ่ของท้องฟ้า จะเห็นโครงสร้างทั้งหมดอยู่ในรูป cosmic string ที่ประกอบไปด้วย ส่วนเป็นมวลรวมใน great walls และ voids ที่ส่วนใหญ่เป็นที่ว่าง  










เอกภพ (universe)
         คือระบบที่รวมทุกสิ่งทุกอย่างจนไม่สามารถกำหนดขนาดหรือขอบเขตได้   ประกอบด้วยกาแลกซีหรือดาราจักร(Galaxy)เป็นหน่วยใหญ่มากจำนวนแสนล้านแห่ง แต่ละดาราจักรเป็นระบบของดาวฤกษ์จำนวนมากหลายล้านดวง ดาวฤกษ์แต่ละดวงเป็นระบบที่ประกอบไปด้วยดาวเคราะห์  นอกจากนี้ยังมีมวลในอวกาศระหว่างกาแลกซี ดาวฤกษ์ที่อาจเป็นของแข็งขนาดต่าง  กาซมีขนาดเล็กเป็นอณูกาซหรือเป็นกลุ่มกาซหรือเป็นกลุ่มกาซขนาดต่าง  ยังมีอนุภาคประจุเล็กกว่าอณูกาซส่วนใหญ่ของเอกภพเป็นที่ว่าง  นอกเหนือจากนั้น  เอกภพประกอบด้วยพลังงานในรูปของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า  เช่น คลื่นแสง  คลื่นความร้อน
          เอกภพที่เราสำรวจได้ด้วยตา หรือกล้องโทรทรรศน์แสง เป็นเพียงส่วนหนึ่งของเอกภพทั้งหมด  เอกภพที่รู้จักมีขนาดและขอบเขตตามประสิทธิภาพของเครื่องมือทางดาราศาสตร์        ปัจจุบันเอกภพที่สำรวจได้ขยายอาณาเขตออกไปด้วยเทคนิคของเครื่องมือใหม่  ทำให้เราเข้าใจเอกภพได้ลึกซึ้งกว่าอดีต เช่น กล้องโทรทรรศน์วิทยุที่ขยายการสำรวจเอกภพ ด้วยคลื่นรังสีอื่นนอกเหนือจากคลื่นแสง  แต่ถ้ามีดาวมืดหรือวัตถุมืดหรือมวลมืดในเอกภพ บางกรณีก็ไม่สามารถค้นพบได้ แต่ความก้าวหน้าทางดาราศาสตร์จะทำให้ค้นพบวัตถุที่มองไม่เห็นได้
          จากเอกภพที่สามารถสำรวจได้ จะนำมาตั้งสมมุติฐานเกี่ยวกับเอกภพที่เป็นจริง  เพื่อหาอาณาเขตของเอกภพว่ามีหรือไม่ ?  ที่ไหน?  ตลอดจนกำเนิด  และวิวัฒนาการจากอดีตถึงอนาคต ซึ่งเป็นคำถามมาหลายชั่วอายุคนที่ยังหาข้อยุติไม่ได้ เช่น สมมุติฐานหนึ่งกล่าวว่าประมาณ  20,000 ล้านปีมาแล้ว  ดาราจักรทั้งหมดรวมอยู่ด้วยกันในมวลก้อนเล็ก  ที่มีความหนาแน่นสูงมาก มีความร้อนมากเกิดการระเบิดขึ้นและชิ้นส่วนที่กระจัดกระจายไปทุกทิศทาง  เป็นดาราจักรหรือมวลที่วิ่งออกจากกัน  เกิดการขยายเอกภพขึ้น ซึ่งเป็นข้อสันนิษฐานการกำเนิดเอกภพที่ได้จากการค้นพบว่า ทุกดาราจักรเคลื่อนที่ออกจากกัน แต่เรายังรอข้อมูลอีกมากเพื่อจะตอบปัญหาเกี่ยวกับเอกภพ  ปัจจุบันการค้นพบได้เปลี่ยนแปลงความคิดเกี่ยวกับกำเนิดและวิวัฒนาการเอกภพดั้งเดิมมากให้ความตื่นเต้นยิ่งขึ้น ซึ่งกำลังรอการพิสูจน์  ความเข้าใจโครงสร้างของเอกภพในวันนี้แตกต่างจากความเข้าใจในเอกภพในอดีต